วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ข้อสอบข้อที่ 3

ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการใช้กระบวนการทางกฎหมาย(กฎหมายว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์พ.ศ.2550) เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมในสังคมจากการใช้คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด จงอภิปรายถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องให้เห็นเป็นรูปธรรม
ตอบ ผู้รายงานเห็นด้วยกับการใช้กระบวนการทางกฎหมาย เพราะทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับ โทษ ส่วนหนึ่งอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์จะได้ลดลง สามารถแก้ปัญหาอาชญากรรมทางสังคม ได้ โดยผู้รายงานขอแสดงความคิดเห็น และขอยกตัวอย่างอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ให้เห็น ดังนี้
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์คืออะไร
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ มีการให้นิยามไว้เป็น 2 นัย
นัยแรก หมายความถึงการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์ และทำให้ผู้เสียหายนั้น ได้รับความเสียหาย ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้กระทำความผิดนั้นได้รับประโยชน์ เช่น การลัก ทรัพย์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
นัยที่สอง หมายความถึง การกระทำใด ๆ ที่เป็นความผิดทางอาญา ซึ่งจะต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ในการกระทำความผิดนั้น เช่น การบิดเบือนข้อมูล (Extortion) , การเผยแพร่รูป อนาจารผู้เยาว์ (Child pornography) , การฟอกเงิน (Money Laundering) , ฉ้อโกง (Fraud) , การถอดรหัสโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วเผยแพร่ให้ผู้อื่นดาวน์โหลดได้ บางครั้ง เรียกว่า การโจรกรรมโปรแกรม (Software Pirating) , การโจรกรรม หรือ ขโมยข้อมูล /ความลับทางการค้าของบริษัท (Corporate Espionage) เป็นต้น
ประเภทของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ แบ่งได้เป็น 9 ประเภท
1.อาชญากรรมที่เป็นการขโมยข้อมูล ซึ่งหมายรวมถึงการขโมยข้อมูลจาก internet service provider หรือผู้ให้บริการ หรือผู้ที่มีเว็ปไซด์ในอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงการขโมยข้อมูลเพื่อที่จะใช้ประโยชน์ในการลักลอบใช้บริการ
2.อาชญากรนำเอาการสื่อสารผ่านทางคอมพิวเตอร์มา ความสามารถในการกระทำความผิดของตน
3.การละเมิดลิขสิทธิ์ การปลอมแปลง ไม่ว่าจะเป็นการแปลงเช็ค การปลอมแปลงรูป เสียง หรือการปลอมแปลงทางคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า มัลติมีเดีย หรือรวมทั้งการปลอมโปรแกรมคอมพิวเตอร์
4.การฟอกเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งใช้อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์และการสื่อสารเป็นเครื่องมือทำให้สามารถกลบเกลื่อนอำพรางตัวตนของผู้กระทำความผิดได้ง่ายขึ้น
5. อันธพาลทางคอมพิวเตอร์ หรือพวกก่อการร้าย เป็นอาชญากรเท่านั้นที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นเพื่อรบกวนผู้ใช้บริการ และเข้าไปแทรกแซงระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น รวมไปถึงผู้ก่อการร้าย (terrorist) ที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการเผยแพร่ข้อมูลข่มขู่ผู้อื่น
6.การค้าขาย หรือชวนลงทุนโดยหลอกลวงผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์
7.การเข้าแทรกแซงข้อมูลและนำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ต่อตนโดยมิชอบ
8.การโอนเงิน
ตัวอย่างอาชญากรรรมคอมพิวเตอร์
1. Morris Case
การเผยแพร่หนอนคอมพิวเตอร์ (Worm) หนอน (Worm) สามารถระบาดติดเชื้อจากคอมพิวเตอร์ เครื่องหนึ่งไปสู่อีกเครื่องหนึ่ง ทำให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้ โดยมีการแพร่ระบาดอย่าง รวดเร็ว โดยนายโรเบิร์ต ที มอริส นักศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ศาลตัดสินจำคุก 3 ปี แต่ให้รอลงอาญา โดยให้บริการสังคมเป็นเวลา 400 ชั่วโมง และปรับเป็น เงิน 10,050 ดอลลาร์สหรัฐ
2. การเจาะระบบข้อมูลของ Kevin Mitnick
 โดยเจาะระบบของนักฟิสิกส์ Shimomura ของ San Diego
 Supercomputer center
 เจาะระบบการบริการออนไลน์ The Well
 เจาะระบบโทรศัพท์มือถือ
 ไม่แสวงหาผลประโยชน์
 Mitnick เจาะระบบข้อมูลเหมือนคนติดยาเสพติด ไม่สามารถเลิกได้
3. การปล้นเงินธนาคารพาณิชย์ 5.5 ล้านบาท
คนร้ายเป็นอดีตพนักงานธนาคาร โดยมีคนในร่วมทำผิดเป็นทีม วิธีการโดยการปลอมแปลง เอกสารหลักฐาน เพื่อขอใช้บริการ ฝาก – ถอน โอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ต “อินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง” ซึ่งบัญชีของลูกค้าที่มีการฝากเงินไว้เป็นล้าน เมื่อได้รหัสผ่าน (Password) แล้ว ทำการโอนเงิน จากบัญชีของเหยื่อทางอินเตอร์เน็ต และทางโทรศัพท์ (เท โฟนแบงค์กิ้ง) ไปเข้าอีกบัญชีหนึ่ง ซึ่ง ได้เปิดไว้โดยใช้หลักฐานปลอม *ใช้บริการคอมฯ จากร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายแห่ง *ใช้ A.T.M. กดเงินได้สะดวก (ปัจจุบัน โรงเรียนคอมพิวเตอร์เปิดสอนเกี่ยวกับการแฮคเกอร์ข้อมูล, การใช้อินเตอร์เน็ตคาเฟ่โดยเสรีไม่กำหนดอายุ เงื่อนไข การแสดงบัตรประชาชน)
4.การทุจริตในโรงพยาบาล และทางบริษัท
โดยการทำใบส่งของปลอมจากคอมพิวเตอร์ เช่น เจ้าหน้าที่ควบคุมคอมพิวเตอร์ ยักยอกเงิน โรงพยาบาล 40,000 เหรียญ โดยการทำใบส่งของปลอมที่กำหนดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ควบคุมสินเชื่อ จัดทำใบส่งของปลอม จากบริษัทที่ตั้งขึ้นปลอมโดยให้เช็ค สั่งจ่ายบริษัทปลอมของตัวเองที่ตั้งขึ้นสูงถึง 155,000 เหรียญ
5.การทุจริตในบริษัทค้าน้ำมัน
พนักงานควบคุมบัญชี สั่งให้คอมพิวเตอร์นำเช็คจ่ายภรรยา แทนการจ่ายให้แก้เจ้าของที่ดิน โดย การแก้ไขรหัสผู้รับเงิน
6.การทุจริตในธนาคารของเนเธอร์แลนด์
ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ และผู้ช่วยถูกจับในข้อหายักยอกเงินธนาคารถึง 65 ล้านเหรียญ ภายใน 2 ปี โดยการแก้ไขรหัสโอนเงินที่สามารถโอนเงินผ่านคอมพิวเตอร์
7.E-commerce กับธุรกิจผิดกฎหมาย
ปัจจุบันได้มีการนำอินเตอร์เน็ตมาใช้ในทางผิดกฎหมายมากขึ้น เช่น การขายหนังสือลามก, วิดีโอ ลามก, สื่อลามกประเภทต่าง ๆ , เป็นแหล่งโอนเงินที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งใช้เป็นช่องทางในการ หลอกลวงเพื่อกระทำความผิด เป็นต้น
ผลกระทบของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ
 ผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
 ผลกระทบต่อจริยธรรม เช่น การใช้อินเตอร์เน็ตในการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก
 ผลกระทบต่อการประกอบอาชญากรรมประเภทอื่น ๆ

แนวทางการแก้ไขปัญหา
1.ควรมีการวางแนวทางและกฎเกณฑ์ในการรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
2.ให้มีคณะทำงานในคดีอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ พนักงานสอบสวนและอัยการอาจมีความรู้ความชำนาญด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์น้อย
3.จัดตั้งหน่วยงานเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
4.บัญญัติกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ หรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่มีอยู่ให้ครอบคลุมอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
5.ส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศทั้งโดยสนธิสัญญาเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างประเทศทางอาญา
6.เผยแพร่ความรู้เรื่องอาชญากรรมคอมพิวเตอร์แก้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ให้เข้าใจแนวคิด วิธีการของอาชญากรทางคอมพิวเตอร์
7.ส่งเสริมจริยธรรมในการใช้คอมพิวเตอร์

ข้อสอบข้อที่ 2

ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการจัดทำแผนแม่บทด้านไอซีที (ICT) ฉบับที่2 ของรัฐบาลไทย จงสังเคราะห์ความรู้จากแผนแม่บทมาเป็นคำอรรถาธิบายให้ชัดแจ้ง
ตอบ ความคิดเห็นต่อแผนแม่บทไอซีที (ICT)ฉบับที่ 2 พ.ศ.2552-2556
ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้จัดทำแผนแม่บทด้านไอซีที (ICT)
ฉบับที่ 2 พ.ศ.2552-2556 โดยกำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินงานด้านต่างๆ (ตามแผนแม่บทไอซี ที (ICT) ฉบับที่ 2 พ.ศ.2552-2556) ไว้อย่างครอบคลุม ชัดเจน นั้น ผู้ศึกษามีความเห็นด้วยกับการ วางกรอบและแนวทางการดำเนินงานด้านการพัฒนาไอซีที (ICT) ของรัฐบาลที่จะให้หน่วยงาน รับผิดชอบได้ยึดถือ แต่เพื่อให้การดำเนินงานในการแก้ปัญหาขาดความพร้อมการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานสารสนเทศ ไม่พอและไม่ทั่วถึง และตามที่วางวิสัยทัศน์แผนแม่บทฉบับ 2 พัฒนาไทยเป็น สังคมอุดมปัญญา (Smart Thailand) วางเป้าประชาชนเข้าถึง ไอซีทีไม่น้อยกว่า 50% ของประชากร ทั้งประเทศ ทั้งเพิ่มบทบาทไอซีทีต่อระบบเศรษฐกิจมีสัดส่วนต่อ GDP ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และ ควรดำเนินการดังนี้
1. ควรตระหนักเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินงาน เนื่องจากจุดอ่อนของการพัฒนา
ICT อาทิ งบประมาณสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน ICT เพื่อการศึกษาไม่เพียงพอและไม่สมดุล ระหว่างเมืองและชนบท
2. ควรกำหนดผู้รับผิดชอบที่มีความรู้ความสามารถ โดยควรมีการพิจารณาทบทวน
บทบาทของกระทรวงไอซีทีและกทช.ให้เกิดความชัดเจน ในเรื่องการกำกับดูแล ควรให้มีการ พิจารณาเนื้อหา หรือ Content สืบเนื่องจากภาครัฐขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถขั้นสูง การบูรณาการและการบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพ
3. ควรจัดทำแผนปฏิบัติการ รองรับเพื่อให้มีการดำเนินการไปสู่ภาคปฏิบัติมากขึ้น ซึ่ง
รายละเอียดของแผนดังกล่าวควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน ท้าทาย วัดผลได้ รวมทั้งควรคำนึงถึงต้นทุนในการดำเนินการ และผู้รับผิดชอบหลัก ขณะเดียวกันควรจะเร่งดำเนินการเรื่องของ E-Government ให้สำเร็จตามแผนแม่บทไอซีที พ.ศ.2545-2549 โดยจัดทำเป็นแผนปฏิบัติที่ชัดเจน และบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นเอกเทศ จากที่ผ่านมาสถานภาพการบูรณาการข้อมูลและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศระหว่างหน่วยงาน ต้องการให้หน่วยงานกลางที่มีอำนาจกำหนด
แนวทางและทำหน้าที่บริหารจัดการอย่างจริงจัง สภาพข้อมูลของหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่นั้น จะ สร้างขึ้นเพื่อภารกิจของหน่วยงาน (Function Base) ทำให้ขาดเอกภาพ
และการทำงานร่วมกัน จึงต้องการการให้กำหนดกรอบหรือแนวทางในการสร้างข้อมูลภายใต้ ยุทธศาสตร์ของ Agenda Base หรือกำหนดเป็น National Agenda
4. ด้านกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง ควรมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ให้ทันสมัย
และบังคับใช้อย่างจริงจัง เพื่อเอื้อต่อการประกอบธุรกิจโทรคมนาคม และส่งเสริมให้มีการใช้ เทคโนโลยีมากขึ้น เช่น ในเรื่องความปลอดภัยและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
5. ด้านการศึกษาและพัฒนาบุคลากร ควรขยายการศึกษาด้านไอซีทีสู่ระดับพื้นฐาน และมี
แอพพลิเคชั่น ในการพัฒนาบุคลากรและสร้างโอกาสให้เด็กเข้าถึงคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ต้องสร้าง อินเซ็นทีฟให้เด็กมีความรู้สึกอยากเรียนรู้ด้านไอซีทีและเห็นถึงประโยชน์การมีความรู้ ความสามารถทางด้านนี้ ที่จะทำให้มีอาชีพและรายได้ที่ดีในอนาคต
6. ด้านธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ควรส่งเสริมให้มีการใช้เว็บไซต์ www.eway.com โดยทำ
หน้าที่เป็นเว็บท่า ในการส่งเสริมการตลาด สินค้าผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต รวมถึงการจัดตั้ง สำนักงาน เลขานุการคณะกรรมการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ภายในกระทรวงไอซีที เพื่อทำหน้าที่ใน ฐานะฝ่ายประสานงานทุกภาคส่วนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมด้าน ซอฟต์แวร์

ข้อสอบข้อที่ 1

ท่านสามารถประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศในองค์กรของท่านได้อย่างไร บอกกรอบแนวคิด ขั้นตอน ผลกระทบให้เห็นกระบวนการคิดของท่านทั้งระบบ
ตอบ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้งานในโรงเรียนซึ่ง ณ ปัจจุบันควรจะก้าวเข้าสู่ยุค เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างจริงจัง ตรงตาม Concept ของคำว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งคำว่า เทคโนโลยีสารสนเทศมีความหมายสรุปง่าย ๆ หมายถึง กระบวนการใช้เทคโนโลยีใด ๆ เพื่อให้ ได้มาซึ่ง สารสนเทศ (Information) เพื่อการตัดสินใจดำเนินงานใด ๆ กรอบความคิด การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศในองค์กรโรงเรียนเมืองสมุทรสงคราม มี ขั้นตอนดังนี้
1. กำหนดจุดประสงค์ การนำคอมพิวเตอร์และการสื่อสารเข้ามาใช้ในโรงเรียน ควร กำหนดจุดประสงค์ไว้ 3 ประการ คือ
- เพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ด้านต่าง ๆ
- เพื่อการบริหารจัดการในโรงเรียน (ระบบบริหารทั่วไป)
- เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้รายวิชาต่าง ๆ
2. สร้างความเข้าใจแก่บุคลากรทุกระดับ ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน วัฒนธรรมการทำงาน ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่นำเข้ามาใช้ บุคลกรต้องพัฒนาทั้งทักษะทางเทคโนโลยี และพัฒนาความคิด วิเคราะห์ให้เข้าใจในกระบวนการทำงานทางเทคโนโลยี ซึ่งบางครั้งจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบบวิธีการทำงาน ให้สอดคล้องกับวิธีทางเทคโนโลยีต้องพัฒนาตนเอง
สิ่งที่ควรจะเป็น
1. ด้าน Hardware โรงเรียนจำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ระบบเครือข่าย (LAN) ชุดหนึ่ง มีคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ศูนย์ข้อมูลหรือ Server อย่างน้อย 1 ชุด และคอมพิวเตอร์ตัวลูกอย่างน้อย 3 กลุ่ม (จำนวนนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและความต้องการ
กลุ่มที่ 1 ผู้บริหาร และผู้ช่วยผู้บริหารทุกคน
กลุ่มที่ 2 หมวดวิชา งาน ฝ่ายต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด แนะแนว ฯลฯ
กลุ่มที่ 3 สำหรับเป็นห้องเรียน สำหรับการศึกษาเรียนรู้รายวิชาต่าง ๆ
1. โรงเรียนจำเป็นต้องวิเคราะห์ว่าการบริหาร จัดการโรงเรียน (อย่างมีระบบ มีคุณภาพ) นั้น จำเป็นต้องใช้สารสนเทศใดบ้าง ถ้าข้อที่ 1 ไม่เกิด หรือ การบริหารไม่สนใจเรื่องนี้ มีการบริหารไปตามสถานการณ์ จะทำอะไรทีก็ต้องวิ่งหาข้อมูล สารสนเทศทีหนึ่ง หรือบริหารตามความคิด ความเห็นของฝ่ายบริหาร เรื่องนี้ก็จบกัน ไม่ต้องพูดถึง Software สำหรับการบริหาร
2. ถ้าข้อ 1 พร้อม สิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือ สร้างระบบฐานข้อมูล ฐานข้อมูลที่ดีต้องมีที่เดียว แก้ไขที่เดียว ตามภาระงานรับผิดชอบ เช่น
- ข้อมูลเกี่ยวกับความประพฤตินักเรียนอยู่ที่ฝ่ายปกครอง
- ข้อมูลประวัตินักเรียนอยู่ที่ฝ่ายวิชาการ หรือ ธุรการ
- ข้อมูลด้านสุขภาพอยู่ที่ฝ่ายบริการ หรือ งานอนามัยโรงเรียน เป็นต้น
3. ออกแบบ Software ให้แต่ละงานมี Software เพื่อบันทึกข้อมูลของแต่ละฝ่าย แต่ละงาน โดยไม่ซ้ำซ้อนกัน เช่น ฝ่ายปกครองบันทึกประวัตินักเรียน โดยรายชื่อนักเรียนดึงมาจากฝ่ายธุรการ (ฝ่ายปกครองแก้ไขไม่ได้ ฝ่ายธุรการแก้ไขได้ฝ่ายเดียว) ฝ่ายปกครองบันทึกเฉพาะพฤติกรรมนักเรียน ในทำนองเดียวกันฝ่ายวิชาการก็บันทึกเฉพาะข้อมูลผลการเรียน โดยใช้เลขประจำตัวเป็นตัวอ้างอิง เชื่อมโยงกับชื่อ และประวัตินักเรียน
4. ออกแบบ Software เพื่อประมวลผลผลรวม เพื่อฝ่ายบริหารหรือฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ข้อมูลหรือสารสนเทศที่ต้องการตามข้อ 1 ได้ทันที ไม่ต้องถามแต่ละฝ่าย เช่น ผู้บริหารต้องการรู้ข้อมูลของนักเรียน 1 คน ผู้บริหารต้องการรู้ข้อมูลของนักเรียน 1 คน ผู้บริหาร ระบุเลขประจำตัวนักเรียนลงไปเท่านั้นเอง ข้อมูลนักเรียนจะถูกประมูลผลขึ้นมาทันที เช่น
- ประวัติทั่วไปของนักเรียน
- ผลการเรียนของนักเรียนรายวิชาต่าง ๆ หน่วยการเรียนที่เรียน ที่ได้เกรดเฉลี่ย การติด 0 ร มส. ฯลฯ
- ประวัติพฤติกรรม ความประพฤติ คะแนนพฤติกรรมคงเหลือ ฯลฯ
- ประวัติด้านสุขภาพ ด้านการแนะแนว ฯลฯ ตามที่ออกแบบไว้
ในทำนองเดียวกัน สารสนเทศด้านอื่น ๆ เช่น นักเรียนในเขตบริการ ชุมชน ฯลฯ ก็สามารถวิเคราะห์ ประมวลผล ดูได้ทันที ถ้าฐานข้อมูลแต่ละด้านมีความสมบูรณ์ มีการบริหาร จัดการให้ฐานข้อมูลมีความเป็นปัจจุบันเท่านั้น
นอกจากฝ่ายบริหารดูข้อมูลได้แล้ว ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกันสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้ตามภาระหน้าที่ เช่น ฝ่ายแนะแนว เมื่อมีนักเรียนมาปรึกษาเรื่องใด ๆ ฝ่ายแนะแนวสามารถดูประวัตินักเรียนได้ทันทีว่าประวัติทั่วไปเป็นอย่างไร ผลการเรียนเป็นอย่างไร ฝ่ายปกครองบันทึกพฤติกรรมไว้ การแนะแนวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพในทำนองเดียวกัน ฝ่ายปกครองก็สามารถวิเคราะห์สาเหตุของพฤติกรรมนักเรียนแต่ละคนได้ แก้ปัญหาพฤติกรรมได้อย่างถูกต้องตรงตามสาเหตุ

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อาหารทางใจ



น้อยใจ....อาการอ่อนแอของจิตใจที่ไม่ได้รับการตอบสนอง
ยามที่เกิดความต้องการให้คนเอาใจ
วิธีแก้--อย่าเอาแต่ใจ

เจ็บใจ ....อาการเป็นพิษของจิตใจที่ลามมาจากหาง เวลามีใครมาเหยียบมัน
วิธีแก้---ตัดหางทิ้งซะ อย่ายกหางตัวเอง

ละอายใจ.....อาการใฝ่ดีของจิตใจ ที่ออกมาชี้หน้าด่าเรา
ข้อแนะนำ---เมื่อละชั่วได้ ก็ไม่อายแก่ใจ

เสียใจ.....อาการวูปทางจิตใจ เกิดจากความไม่มั่นคง
เพราะชอบเอาใจไปผูกเอาไว้กับสิ่งอื่น
วิธีแก้---ตัดใจซะสิ อย่าไปผูกมันไว้

ใจหาย.....อาการนี้ชื่อก็บอกอยู่แล้ว
วิธีแก้---หายใจเข้าสิ หายใจลึกๆ แล้วจะเลิกใจหาย

หลายใจ....อาการสืบพันธุ์ของจิตใจโดยการแบ่งตัว
นำไปสู่อาการน้อยใจแก่คนรอบข้างได้ในเวลาต่อมา
วิธีแก้----ระลึกไว้ มีแต่พวกอะมีบาที่ใช้วิธีแบ่งแบบนี้

ทำใจ.....อาการที่แปลกที่สุดของใจ ยิ่งทำมากเท่าไร ใจยิ่งว่างเท่านั้น
ข้อแนะนำ----ทำทุกครั้ง ทำบ่อยๆ ค่อยๆทำ

ทำไมต้องตรวจภายใน




เมื่อเอ่ยถึง “การตรวจภายใน” มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยละเลย บ่ายเบี่ยง หรืออายที่จะตรวจ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การตรวจภายใน สามารถบอกได้ว่าบริเวณอวัยวะเพศของคุณมีอะไรผิดปกติ หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภัยร้ายของผู้หญิง ... มะเร็งปากมดลูก

ซักประวัติ
ก่อนที่หมอจะบอกได้ว่า โรค หรือปัญหาที่อวัยวะเพศของคุณเป็นอะไร จำเป็นจะต้องซักถามประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้นเสียก่อน จึงจะบอกได้ว่าเป็นโรคอะไร บางรายซักก็แล้วตรวจก็แล้ว ยังบอกไม่ได้ ต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการตรวจถึงจะได้คำตอบก็มี

การซักประวัติ ส่วนมากหมอจะถามว่าเป็นอะไรมา เป็นมาอย่างไร ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว มีลูกกี่คน คุมกำเนิดอย่างไร บางรายอาจต้องถามละเอียดมากกว่านี้จนคนไข้บางคนคิดว่าหมอจะมาล้วงความลับก็มี เช่น ถามว่าเวลามีเพศสัมพันธ์แล้วเจ็บไหม มีเพศสัมพันธ์บ่อยแค่ไหน การที่ต้องถามเช่นนี้ก็เพื่อจะได้ข้อมูลมากพอที่จะช่วยให้วินิจฉัยโรคได้ถูกต้องมากขึ้น

การตรวจภายใน
ภายหลังการซักประวัติคนไข้ สิ่งจำเป็นที่หมอจะต้องทำต่อ คือ “ตรวจภายใน” คุณผู้หญิงบางคน พอหมอบอกว่า “ต้องตรวจภายในครับ” ก็อิดออดต่อรองขอตรวจด้วยวิธีอื่นแทนได้ไหม เช่น ตรวจด้วยเอกซเรย์ หรือ อัลตราซาวนด์แทนไม่ได้เหรอ จากนั้นจะมีอาการต่างๆ เกิดขึ้น ตั้งแต่ กลัวจนตัวสั่น เสียงสั่น บางคนเหงื่อแตกเลยก็มี หรือไม่ก็อิดออดขอกลับบ้านไปทำใจก่อน อาจเพราะอาย ตั้งแต่เป็นสาวมาจนวัยกลางคน ยังไม่เคยให้ใครมากล้ำกลายอวัยวะเพศเลย ซ้ำร้ายบางคนสัญญากับตัวเองเลยว่า “ยังไงเสียก็จะไม่ตรวจภายใน ตายเป็นตาย” แต่เอาเข้าจริงๆ ส่วนมากไม่ค่อยยอมตายหรอก แต่กว่าจะตรวจได้ก็ปล่อยให้โรคเป็นไปมากจนเจ็บปวดทนไม่ไหวจึงยอมตรวจ

จากการสังเกตของหมอพบว่า เดี๋ยวนี้แทนที่สาวๆ จะอาย กลับเป็นคนที่ค่อนข้างสูงอายุที่อายมาก และอิดออดไม่ยอมตรวจ ยิ่งเป็นคุณย่าคุณยายยิ่งอายหนักเข้าไปอีก ส่วนสาวๆ พอบอกว่าต้องตรวจภายใน หลายคนรีบขึ้นเตียงตรวจเลยก็มี บางคนหมอซักประวัติดูแล้ว คิดว่ายังไม่น่าจะต้องตรวจหรอก ก็กลับเซ้าซี้ให้หมอตรวจก็มีเหมือนกัน

ตรวจภายในบอกอะไร
โรคของอวัยวะเพศหญิง มีลักษณะของแต่ละโรคที่ไม่เหมือนกัน โรคบางโรค เช่น เนื้องอกมดลูกหรือเนื้องอกรังไข่ เวลาใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ตรวจ อาจสามารถมองเห็นเป็นภาพก้อนเนื้องอกได้ แต่บอกไม่ได้ว่าก้อนดังกล่าวกดเจ็บหรือไม่ ก้อนมีผิวเรียบหรือไม่ ขยับหรือเคลื่อนไหวได้หรือไม่ เป็นเนื้องอกชนิดธรรมดาหรือร้ายแรง จะรู้ได้ก็ต้องใช้การคลำด้วยมือเท่านั้น โดยการ “ตรวจภายใน” นั่นเอง ซึ่งผลที่ได้จากการตรวจภายในร่วมกับการตรวจด้วยวิธีอื่น จะทำให้คุณหมอสามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำยิ่งขึ้น


ตรวจภายในทำอย่างไร
เมื่อจะต้องรับการตรวจภายใน คุณผู้หญิงจะต้องขึ้นนอนบนเตียงที่ออกแบบมาเพื่อตรวจภายในโดยเฉพาะ โดยจะมีที่รองขาหรือที่เรียก ”ขาหยั่ง” เพื่อแยกขาให้ออกจากกัน ทำให้เห็นอวัยวะสืบพันธุ์ได้ชัดเจน นึกภาพตามไปเรื่อยๆ นะครับ

1.หมอจะใช้น้ำยาทำความสะอาดบริเวณปากช่องคลอด แล้วใช้ผ้าสะอาดคลุมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง และหน้าท้องส่วนล่างเหลือเปิดไว้เฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
2.เริ่มจากการตรวจดูบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ และอาจต้องใช้มือคลำว่ามีก้อนเนื้องอกบริเวณปากช่องคลอดด้วยหรือไม่
3.จากนั้นใช้เครื่องมือถ่างขยายปากช่องคลอด ซึ่งทำด้วยเหล็กใส่เข้าไปในช่องคลอดเพื่อตรวจดูภายในว่า มีแผล มูก เลือดที่ปากมดลูกหรือช่องคลอดหรือไม่ รวมทั้งจะได้เช็คมะเร็งปากมดลูกไปด้วย
4.และปิดท้ายด้วยการสอดนิ้วมือของมือข้างหนึ่งเข้าไปในช่องคลอด และใช้นิ้วของมืออีกข้างหนึ่งกดที่หน้าท้องโดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย แล้วใช้มือทั้ง 2 ข้างร่วมกันในการคลำอวัยวะในช่องท้อง ไม่ว่าจะเป็นมดลูก หรือรังไข่ว่าโตผิดปกติไหม กดเจ็บไหม มีถุงน้ำหรือเนื้องอกหรือเปล่า

ร่วมมือดี ตรวจได้ราบรื่น
การตรวจภายในจะเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าคุณผู้หญิงให้ความร่วมมือกับหมอ ซึ่งก็เพียงแค่นอนแยกขา แล้วปล่อยตัวตามสบาย ไม่เกร็งหน้าท้อง ทั้งนี้เพื่อให้หมอตรวจดูปัญหาในช่องคลอดได้ง่าย เห็นชัดเจน เพราะถ้าเกร็งแล้ว จะคลำอะไรไม่ได้เลย

คุณผู้หญิงหลายคน เมื่อหมออธิบายการตรวจภายในจนเข้าใจดีแล้ว แต่พอถึงเวลาตรวจเข้าจริง ก็อดไม่ได้ที่จะมีสารพัดอาการ บางคนเอามือมาคอยปิดเวลาหมอจะตรวจ พอหมอหยุดตรวจก็หยุดปิด พอจะตรวจใหม่ก็ปิดใหม่ ทำเหมือนเล่นชักเย่อ บางคนก็นอนตัวแข็งเกร็งเหมือนหุ่นยนต์ บางคนก็บิดก้นหนีเวลาหมอจะตรวจ เหมือนเล่นเกมตำรวจจับขโมย บางคนก็ส่ายก้นไปมา หรือเลื่อนก้นขึ้นลงเหมือนนั่งม้าโยก ซึ่งทำให้การตรวจภายในยุ่งยากและอาจทำให้ตรวจผิดหรือตรวจไม่ได้เลย ต้องบอกตรงๆ ว่า เสียเวลาทั้งคนไข้และหมอครับ

ทั้งนี้ การตรวจภายใน หากพบความผิดปกติแต่เนิ่นๆ และได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ก็สามารถช่วยได้

ฉลากเครื่องสำอางน่ารู้




ปกติฉลากเครื่องสำอางที่ผ่านการควบคุมจาก อย.แล้วจะต้องระบุข้อความเหล่านี้เป็นภาษาไทยไว้บนฉลาก ได้แก่

- ชื่อเครื่องสำอางและ/หรือชื่อทางการค้า

- ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง

- ชื่อส่วนประกอบที่สำคัญ

- ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต ถ้านำเข้าจะต้องแสดงชื่อผู้ผลิตและประเทศที่ผลิต

- วัน เดือน ปีที่ผลิต เช่น Manufactured ตามด้วยตัวเลขบอกวัน เดือน ปีที่ผลิต หรือวันหมดอายุ เช่น Best Before หรือ Used Before ตามด้วยวัน เดือน ปีที่หมดอายุไว้ด้วย

- วิธีใช้และคำเตือน

- ปริมาณสุทธิ

คำศัพท์ที่พบบ่อยในผลิตภัณฑ์เสริมความงาม

๐ Antioxidant = สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องและลบเลือนริ้วรอย

๐ Non-Comedogenic = ไม่มีส่วนผสมที่ทำให้รูขุมขนอุดตันอันเป็นสาเหตุของสิว

๐ Clinically Proven = ผ่านการทดสอบจากคลินิกของเครื่องสำอางยี่ห้อนั้นๆ มาแล้ว

๐ Dermatologist-Tested = ผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนังแล้ว

๐ Hypo-Allergenic = มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ได้น้อย จึงเหมาะสำหรับผู้มีผิวแพ้ง่าย

๐ Retinol A = ส่วนผสมที่ช่วยลบเลือนริ้วรอยร่องลึก

สัญลักษณ์บอกอะไร

- สัญลักษณ์รีไซเคิล หมายถึง บรรจุภัณฑ์ชิ้นนี้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ช่วยลดโลกร้อนอีกทางหนึ่ง

- สัญลักษณ์หนังสือหรือหนังสือพร้อมมือชี้ หมายถึง ผู้ใช้ควรอ่านฉลากให้ละเอียดก่อนใช้ เพราะอาจมีคำเตือนหรือข้อความระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์ระบุอยู่ที่ฉลาก

- สัญลักษณ์กระป๋องเปิดแล้วมีตัวเลขกำกับไว้ ตามด้วย M (Month) หมายถึง ผลิตภัณฑ์นี้มีอายุเท่าไร (ระบุเป็นจำนวนเดือน) นับตั้งแต่เปิดให้เนื้อผลิตภัณฑ์สัมผัสอากาศ เช่น มาสคาราจะเริ่มนับเวลาตั้งแต่การดึงก้านมาสคาราออกมาครั้งแรก หรือผลิตภัณฑ์หัวปั๊มก็นับตั้งแต่ทำการกดครั้งแรก

บ๋าย บาย ผิวแตกลายของว่าที่คุณแม่




หากรู้จักป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการดูแลคตัวเองทั้งเรื่องกอาหารการกิน แะการดูแลน้ำหนัก ที่สำคัญคือการเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพราะหากเลือกไม่ดีอาจส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์ได้

สาวไทยเตรียมบอกลาปัญหาผิวแตกลายได้แล้ว เมื่อ "ปาล์มเมอร์" Palmer's ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ดังจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์อันมีชื่อ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แล้วทั่วโลก จะเปิดตัวในเมืองไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 มิ.ย. ที่การ์เด้นท์ วิลล่า โรงแรมสุโขทัย

"ปัญหาผิวแตกลาย" เป็นเรื่องวิตกกังวลของสาวๆที่กำลังเป็นคุณแม่ที่แก้ไม่ตก ทั้งนี้เพราะ ปัญหาผิวแตกลายงานั้นเกิดจากการยืดขยายหรือการฉีกขาดของผิวหนัง ทำให้โครงสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินถูกทำลาย ซึ่งจะเริ่มสังเกตเห็นได้ชัดเมื่อมีอายุครรภ์ 28 ถึง 32 สัปดาห์

ไม่อยากเกิดปัญหานี้ ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า การป้องกันเสียแต่เนิ่น ๆ สามารถช่วยลดผิวแตกลายนี้ลงไปได้โดยไม่ต้องไปตามแก้ในภายหลัง

เพราะโอกาสที่หน้าท้องจะกลับมาสวยเรียบเนียนเหมือนเดิมหลังคลอดนั้น มีความเป็นไปได้น้อยมาก วิธีที่ได้ผลคือ ต้องควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นเร็วเกินไป โดยกำหนดไตรมาสที่ 1 ประมาณ 1.5-2 กิโลกรัม ไตรมาสที่ 2 ประมาณ 5-7 กิโลกรัม และไตรมาสสุดท้ายประมาณ 4 กิโลกรัม เพื่อให้ผิวได้ปรับตัวกับสภาพที่ถูกยืดขยายอย่างช้า ๆ

อย่างไรก็ตาม สาว ๆ ที่กำลังเป็นคุณแม่ก็ไม่ควรจำกัดปริมาณอาหารมากเกินความจำเป็น เพราะอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเมื่อรับประทานอาหารไม่เพียงพอ ทางที่ดีควรลดปริมาณไขมันลง หันไปบริโภคผักและผลไม้สดมากขึ้น เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตอย่างครบถ้วน

นอกจากนี้ ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้ครีมบำรุงผิวด้วย โดยไม่ควรใช้โลชั่นบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ หรือ เอเอชเอ

เพราะจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพของลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ได้ ดังนั้น ควรเลือกโลชั่นที่มีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์ วิตามินอี คอลลาเจน และอิลาสติน โดยทาที่บริเวณท้องเป็นประจำ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอด จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้ผิวกลับมาเนียนสวยดังเดิม